5 วิธีปรับแผนกู้บ้านในยุคดอกเบี้ยสูง — ผ่อนยังไงให้สบายกระเป๋า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น” กลายเป็นประเด็นร้อนของคนที่กำลังคิดจะซื้อบ้าน หรือแม้แต่ผู้ที่กำลังผ่อนอยู่ เพราะทุกครั้งที่ดอกเบี้ยขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็ส่งผลต่อค่างวดรายเดือนโดยตรง — บางครั้งเพิ่มขึ้นถึงหลักพันบาทต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่จำนวนเงินเล็ก ๆ เลยสำหรับคนทำงานทั่วไป
แต่ถึงดอกเบี้ยจะขึ้น การมี “บ้านของตัวเอง” ก็ยังเป็นความฝันสำคัญที่ไม่ควรหยุดไว้กลางทาง เพียงแค่ต้องรู้จัก “ปรับแผน” ให้เหมาะกับสถานการณ์ เพื่อให้ยังสามารถผ่อนได้อย่างสบายกระเป๋า และไม่กระทบงบประมาณในชีวิตประจำวัน
เข้าใจผลกระทบของดอกเบี้ยก่อนวางแผน
เมื่ออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านปรับเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 1,000–2,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับวงเงินและระยะเวลาผ่อน) ตัวอย่างเช่น
บ้านราคา 3 ล้านบาท
กู้ 90% (2.7 ล้านบาท)
ผ่อน 30 ปี
หากดอกเบี้ยเฉลี่ย 3% → ผ่อนเดือนละประมาณ 11,400 บาท
แต่ถ้าดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 5% → ผ่อนขึ้นเป็นราว 14,500 บาท
ต่างกันถึง 3,100 บาทต่อเดือน หรือกว่า 37,000 บาทต่อปี
ดังนั้น “ดอกเบี้ย” จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องคำนวณให้รอบคอบตั้งแต่ก่อนยื่นกู้ เพราะหากไม่เตรียมแผนไว้ล่วงหน้า ภาระผ่อนอาจสูงเกินความสามารถในการชำระ
1. ปรับงบประมาณบ้านให้เหมาะกับรายได้
ในภาวะดอกเบี้ยสูง การเลือกบ้านราคาพอดีกับกำลังผ่อนคือหัวใจสำคัญที่สุด
กฎทอง ที่แนะนำคือ “อย่าผ่อนเกิน 35% ของรายได้ต่อเดือน”
ตัวอย่างเช่น
รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน → ผ่อนได้ไม่เกิน 10,500 บาท
รายได้ 50,000 บาทต่อเดือน → ผ่อนได้ไม่เกิน 17,500 บาท
หากเดิมตั้งงบไว้ 3.5–4 ล้านบาท อาจพิจารณาลดลงเหลือราว 2.8–3 ล้านบาท เพื่อรักษาสมดุลการใช้จ่าย ไม่ให้กระทบต่อชีวิตประจำวัน
เคล็ดลับ:
เลือกบ้าน “หลังขนาดพอเหมาะ” ในทำเลที่เติบโตได้ในอนาคต แทนการฝืนซื้อบ้านใหญ่เกินงบตอนนี้
2. เพิ่มเงินดาวน์เพื่อลดภาระในระยะยาว
การเพิ่มเงินดาวน์เพียง 5–10% อาจช่วยลดภาระดอกเบี้ยรวมได้หลายแสนบาทตลอดอายุสัญญา เพราะยอดเงินต้นที่ต้องกู้ลดลงโดยตรง
ตัวอย่าง:
ราคาบ้าน 3 ล้านบาท
วางดาวน์ 10% = 300,000 บาท (กู้ 2.7 ล้าน)
หากเพิ่มดาวน์เป็น 20% = 600,000 บาท (กู้เพียง 2.4 ล้าน)
→ ยอดผ่อนต่อเดือนลดลงได้ประมาณ 1,200–1,500 บาท
นอกจากนี้ การวางดาวน์สูงยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการยื่นกู้กับธนาคารอีกด้วย
เคล็ดลับ:
ตั้งเป้าเก็บเงินดาวน์ล่วงหน้าอย่างน้อย 12–18 เดือนก่อนยื่นกู้ โดยอาจเก็บเข้าบัญชีเงินฝากประจำหรือกองทุนความเสี่ยงต่ำเพื่อรักษามูลค่าเงิน
3. เปรียบเทียบสินเชื่อให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
อย่ากู้กับธนาคารแรกที่เสนอมาเสมอ เพราะในยุคดอกเบี้ยผันผวนแต่ละสถาบันการเงินมีนโยบายต่างกัน ทั้งเรื่อง “ดอกเบี้ยคงที่ช่วงแรก” และ “ค่าธรรมเนียมพิเศษ”
แนวทางเลือกสินเชื่อที่เหมาะสม:
เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก (Effective Rate)
พิจารณาว่าธนาคารไหนมีโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ฟรีในอนาคต
ตรวจสอบค่าธรรมเนียม เช่น ค่าประเมิน ค่าจดจำนอง และค่าประกันชีวิตสินเชื่อ
เคล็ดลับ:
อย่าดูแค่ “อัตราดอกเบี้ยปีแรก” แต่ให้ดู “ค่าใช้จ่ายรวมทั้งสัญญา” เพราะบางธนาคารเริ่มต้นถูก แต่พอครบปีแรกอาจปรับสูงขึ้นกว่าที่คิด
4. วางแผนรีไฟแนนซ์ตั้งแต่วันแรก
แม้จะเริ่มต้นกู้ในช่วงดอกเบี้ยสูง แต่คุณสามารถวางแผน “รีไฟแนนซ์” เพื่อลดภาระในระยะกลางได้
โดยทั่วไปเมื่อผ่อนไปครบ 3 ปีแรก จะสามารถยื่นรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าได้ ซึ่งอาจช่วยลดค่างวดลงได้ 1,000–2,000 บาทต่อเดือน
เคล็ดลับ:
จดกำหนดครบ 3 ปีไว้ในปฏิทิน เพื่อไม่ลืมยื่นรีไฟแนนซ์ทันเวลา
เปรียบเทียบดอกเบี้ยทุกธนาคารก่อนยื่นใหม่
อย่าลืมคำนวณ “ค่าใช้จ่ายในการโอนและค่าประกันใหม่” เพื่อดูว่าคุ้มค่าหรือไม่
การวางแผนรีไฟแนนซ์ล่วงหน้าเป็นเหมือน “ประกันความคุ้มค่า” ที่ช่วยคุณประหยัดเงินได้หลักแสนตลอดสัญญา
5. ลดหนี้อื่น ๆ และสร้างเครดิตให้แข็งแรงก่อนยื่นกู้
ในภาวะดอกเบี้ยสูง ธนาคารจะเข้มงวดกับการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ผู้ที่มีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลจำนวนมากอาจถูกลดวงเงินหรือถูกปฏิเสธกู้ได้
แนวทางเตรียมตัวก่อนยื่นกู้:
เคลียร์หนี้บัตรเครดิตให้เหลือน้อยกว่า 30% ของวงเงิน
ปิดสินเชื่อส่วนบุคคลหรือผ่อนรถให้เสร็จก่อนยื่น
ตรวจเครดิตบูโรล่วงหน้า หากพบประวัติค้างชำระควรแก้ไขให้เรียบร้อย
เคล็ดลับ:
การไม่มีหนี้เสีย (NPL) และมีประวัติชำระตรงเวลาจะช่วยเพิ่มคะแนนเครดิต ทำให้ธนาคารพิจารณาอนุมัติเร็วขึ้นและอาจให้ดอกเบี้ยพิเศษ
สรุป – ดอกเบี้ยขึ้น แต่แผนที่ดีช่วยคุณผ่อนได้สบาย
ดอกเบี้ยขาขึ้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเรามี “แผนการเงินที่มั่นคงและยืดหยุ่น” การเลือกบ้านในราคาที่เหมาะสม การเพิ่มเงินดาวน์ การรีไฟแนนซ์ในจังหวะที่เหมาะ รวมถึงการดูแลเครดิตของตัวเองให้ดี — ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณผ่อนบ้านได้อย่างสบายใจ
จำไว้ว่า “บ้าน” คือทรัพย์สินระยะยาว การตัดสินใจซื้อในวันนี้อาจดูท้าทาย แต่หากคุณวางแผนดีพอ มันจะกลายเป็นการลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัยที่สุดในชีวิต